tdri logo
tdri logo
30 เมษายน 2024
Read in 5 Minutes

Views

Digital Transformation ธุรกิจและกำลังคน บทเรียนพลิกวิกฤตโควิดของบมจ.ไทย

ทีดีอาร์ไอ จับมือ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน จัดสัมมนาสาธารณะ “Digital Transformation ธุรกิจและกำลังคน บทเรียนพลิกวิกฤตโควิดของบมจ.ไทย” พร้อมเปิดผลการศึกษา ชี้ ภาคธุรกิจปรับตัว-เปลี่ยนกลยุทธ์ใช้เทคโนโลยีร่วมกับการพัฒนาคน แนะแรงงานไทยเติมทักษะเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) จัดงานสัมมนาสาธารณะ “Digital Transformation ธุรกิจและกำลังคน บทเรียนพลิกวิกฤตโควิดของ บมจ.ไทย” ที่ รร.อีสติน แกรนด์ สาทร เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567

ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร  หัวหน้าโครงการและหัวหน้าทีมวิเคราะห์ตลาดแรงงาน ทีดีอาร์ไอ นำเสนอผลการศึกษาเรื่อง “การปรับตัวด้านดิจิทัลและแรงงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงระหว่างและหลังวิกฤตโควิด19”  ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ดัชนีราคาในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกเกิดการลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสะท้อนถึงบรรยากาศทางธุรกิจ  นอกจากนี้ผลจากมาตรการของรัฐที่ควบคุมการแพร่ระบาดส่งผลให้ธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงัก ทำให้ภาพรวมตลาดแรงงานทั่วโลกมีอัตราว่างงานที่สูงขึ้น  ขณะที่ตลาดแรงงานไทยมีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดในปี  2562

ธุรกิจที่ยืดหยุ่นสูงได้เปรียบช่วงวิกฤต

ดร.ณัฐนันท์ ระบุว่า แม้ว่ากิจการต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบจากโควิด19 อย่างถ้วนหน้า แต่ในทางกลับกันมีบางกิจการที่ไม่ได้รับผลกระทบเลยหรือได้รับผลเป็นบวก  จากการศึกษาพบว่าธุรกิจที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่นหรือลูกค้าน้อย (low-contact) เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และของใช้ภายในบ้าน มีความได้เปรียบในช่วงวิกฤตและมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า ฟื้นตัวเร็วกว่า และยังสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมหลังวิกฤตได้  ขณะที่ธุรกิจที่ต้องติดต่องานกับบุคคลภายนอกสูง (high-contact) เช่น ธนาคาร หรือลักษณะงานยืดหยุ่นน้อย เช่น ก่อสร้าง อาจได้รับความเสียหายสูงกว่า  ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหนักและต่อเนื่องมากกว่าวิกฤตที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ทางรอดธุรกิจ พัฒนาเทคโนโลยีควบคู่แรงงาน ต้อง Up skill -Re skill และเพิ่มเติมทักษะแห่งอนาคต

ดร.ณัฐนันท์ ระบุว่า จากวิกฤตดังกล่าวทำให้ภาคธุรกิจต้องนำปัจจัยด้านดิจิทัลมาใช้ร่วมกับปัจจัยแรงงานทำให้เกิดการปรับตัวด้านแรงงาน เกิดการพัฒนาทักษะของแรงงาน ทั้งการพัฒนายกระดับทักษะที่มีอยู่แล้วให้ดีกว่าเดิม (Up skill) การสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน (Re skill) และการเพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็นในอนาคต (New skill)  ทั้งนี้ จากบทเรียนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงรูปแบบการทำงานของพนักงาน การพัฒนาทักษะความสามารถในการทำงานของพนักงาน การขยายช่องทางออนไลน์ให้แก่ลูกค้า การพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือ แพลตฟอร์มของบริษัทโดยเฉพาะ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินงานภายในองค์กร  นอกจากนั้น การแพร่ระบาดของโควิด19 ทำให้บริษัทแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้วางแนวทางเพื่อรับมือกับความเสี่ยงอื่น ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย  ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนฯ ส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับแผนการรองรับความเสี่ยง สภาพคล่อง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารมากขึ้น

แนวโน้มหลังวิกฤต กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาประเทศเดียว

สำหรับแนวโน้มหลังวิกฤตโควิดแบ่งได้เป็น 3 ประเด็นคือ 1.การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ไปสู่การผลิตในท้องถิ่นและการกระจายความเสี่ยง เช่น ประเทศต่าง ๆ อาจสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคส่วนที่มีความสำคัญ เช่น การดูแลสุขภาพและบรรจุภัณฑ์อาหาร เกิดการกระจายฐานผู้จัดหาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาประเทศใดเพียงประเทศเดียว  แนวโน้มนี้อาจส่งผลดีต่อหลายประเทศ เช่น ตุรกี เม็กซิโก เวียดนาม บังกลาเทศ และโมร็อกโกที่ได้พัฒนาความสามารถพิเศษในภาคส่วนย่อยต่าง ๆ

2.การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล  ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การแข่งขัน และความยืดหยุ่นมากขึ้น เกิดการเติบโตของแพลตฟอร์มดิจิทัลและแบบจำลองธุรกิจดิจิทัล ปรับปรุงความโปร่งใสของราคาและการลดต้นทุนรวม  ขณะที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดจากวิกฤตโควิด19 ยังคงมีอยู่ เช่น การเพิ่มขึ้นของการสั่งซื้ออาหารออนไลน์และการใช้บริการสุขภาพทางไกล

สุขภาพ-ขนส่ง ได้อานิสงส์ ภาคธุรกิจสนใจลงทุนมากขึ้น 

และ 3.ความต้องการเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุน  ภาคธุรกิจสนใจเพิ่มขึ้นในด้านสุขภาพและโลจิสติกส์ซึ่งการลงทุนอาจเน้นที่ส่งเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมรวมถึงความจำเป็นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ขณะที่หนี้รัฐบาลในตลาดเกิดใหม่เติบโต มีความต้องการเพิ่มขึ้นสำหรับเงินทุนจากภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในขณะที่การปรับเปลี่ยนของแรงงานไทยนั้น ดร.ณัฐนันท์ ระบุว่า แรงงานไทยต้องปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ ด้าน เช่น การทำงานจากที่บ้าน การใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และการมีทักษะหลายด้านเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของงาน  ความยืดหยุ่นของแรงงานจะเอื้อประโยชน์ให้แก่บางธุรกิจสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้  อย่างไรก็ตาม การทำงานจากที่บ้าน (WFH) อาจไม่เหมาะสมกับทุกคน เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

Soft Skill – ทักษะที่หลากหลาย คุณสมบัติพนง.ที่พาองค์กรให้อยู่รอด   

นอกจากนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวยังมีข้อค้นพบสำคัญจากบริษัทจดทะเบียนฯ ในช่วงวิกฤตโควิด19 ซึ่งเป็นบทเรียนที่มีต่อธุรกิจขนาดกลางและย่อมพบว่า สภาวะที่องค์กรต้องดำเนินการด้วยจำนวนคนจำกัด  พนักงานที่มีทักษะด้าน Soft Skill และทักษะที่หลากหลาย (Multi Skills) จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและรักษาการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง  ทักษะเหล่านี้รวมถึงการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และการแก้ไขปัญหาได้

เผยกลยุทธ์พาองค์กรฝ่าวิกฤต – รับมือความเสี่ยงอนาคต

ขณะที่เวทีเสวนา “Digital Transformation ธุรกิจและกำลังคน บทเรียนพลิกวิกฤตโควิดของบมจ.ไทย”  มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองในการปรับตัวของภาคธุรกิจในช่วงวิกฤตโควิด จากผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย  น.ส.เพ็ญศรี สุธีรศานต์ ที่ปรึกษาสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย  นางอรกานดา อรรถวิภัชน์ ประธานเจ้าหน้าทีฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) นายธิติพัทธ์ เจียมรุจีกุล ผู้อำนวยการ งานทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัทพรีเมียร์  และนายเอก อัศว์ศิวะกุล ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Academy ดำเนินรายการโดยดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก ทีดีอาร์ไอ

รับชมย้อนหลัง

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด