การจัดการ ‘แผลเป็นการศึกษา’ โควิด-19 เพื่อพลิกวิกฤติเป็นโอกาส

มีการกล่าวกันมากว่าการระบาดของโควิด-19 จะก่อให้เกิด ‘แผลเป็น’ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำแนวโน้มการตกงานของกลุ่มแรงงานที่ก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก (ซึ่งสำหรับประเทศไทยอาจมีเกือบประมาณ 40% ของแรงงานทั้งหมด) ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางเช่นครอบครัวที่มีคนแก่ คนพิการ เด็กเล็ก ยากจน ที่ถูกผลกระทบแรงกว่ากลุ่มอื่นและต้นทุนในการปรับตัวเพื่อรับแรงกระแทกน้อยกว่า จนทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจและต้นทุนสังคมถูกกัดกร่อนและร่อยหรอจนอาจยากที่จะฟื้นตัว ซึ่งแต่ละแผลเป็นมีเรื่องให้ต้องขบคิดกันมากว่าเราจะทำอย่างไรในการป้องกันหรือให้ความช่วยเหลือเขาเหล่านั้นได้บ้าง แต่ในบทความนี้จะกล่าวถึงอีกหนึ่งแผลเป็นที่คาดว่าการระบาดของโควิด1-19 ส่งผลกระทบที่ยาวนานและอาจถาวร เรื่องดังกล่าวคือแผลเป็นด้านการศึกษา โดยจะมองเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสไปพร้อม ๆ กัน

ความท้าทายมีหลายประการ อย่างที่ทราบกันดีว่าการปิดโรงเรียนและการเรียนออนไลน์ในช่วงที่มีการระบาดก่อให้เกิดผลกระทบต่อนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ อย่างมาก นักเรียนจำนวนมากสามารถเรียนรู้จากการเรียนออนไลน์ได้อย่างจำกัดมาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดอุปกรณ์ ขาดสัญญานอินเทอร์เนท ขาดผู้ปกครองที่มีเวลาช่วยแนะนำและกำกับการเรียน ขาดสมาธิ ปัญหาเหล่านี้ยิ่งหนักขึ้นถ้าเป็นนักเรียนยากจน ซึ่งอาจมีเรื่องอื่นเพิ่มเติม เช่นช่วงเรียนออนไลน์ไม่อยากเปิดวีดิโอเพราะอายสภาพบ้าน ทำให้ปฏิสัมพันธ์ยิ่งน้อยลง และถ้าเด็กยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งมีโอกาสเรียนรู้ได้น้อย (มีงานวิจัยหนึ่งระบุว่าเด็กอนุบาล 3 ของไทยเรียนรู้น้อยลงคิดเป็นประมาณ 4-5 เดือน) ผู้ปกครองเองก็จัดเวลายากเพราะต้องทำงานไปด้วย ดูแลลูกหลานที่เรียนที่บ้านไปด้วย ครูเองก็ต้องปรับตัวมากในการสอนออนไลน์ บางคนปรับตัวไม่ได้ก็ทำให้ประสิทธิภาพการสอนหย่อนลง

แนวทางการลดผลกระทบก็มีการพูดถึงกันบ้างแล้ว ไม่ว่าการสลับวันเรียน การลดขนาดห้อง การปรับหลักสูตร นอกจากนี้ยังมีแนวทางอื่นที่มีการทำในต่างประเทศเช่นประเทศอังกฤษมีการตั้งกองทุนชื่อว่า Education catch-up initiatives เพื่อช่วยสอนเสริมและฟื้นฟูความรู้ให้กับนักเรียนที่เรียนรู้น้อยลงในช่วงออนไลน์  Acceleration Academies, High Intensity Tutoring หรือคิดค้นกระบวนการเรียนรู้ที่ง่าย ๆ ใช้อุปกรณ์ใกล้ตัวในชุมชน ตัวอย่างเช่นในประเทศอินเดีย เป็นต้น

ในบทความนี้จะขอเน้นเรื่องการแปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส ซึ่งก็สามารถทำได้หลายประการ กล่าวคือ

ประการแรก ควรใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดจากกระแสดิจิทัลในกระบวนการเรียนรู้ (digital learning) ที่ถูกบังคับให้เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดแนวโน้มเดิมที่เกิดก่อนการระบาดของโควิด เช่นการเปิดคอร์สเรียนออนไลน์แบบ MOOC (Massive Online Open Course) ที่เริ่มในต่างประเทศและได้แพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยโดยมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ปัจจุบันมีการจัดตั้ง platform รวมชื่อ Thai MOOC (Thailand Massive Online Open Course) หรือ Thailand Cyber University ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกระดับการศึกษา ทุกอายุ และทุกอาชีพ โดยในช่วงโควิดมีผู้เรียนต่อวันเพิ่มขึ้นเกือบ 60% และมีเนื้อหาวิชาเกือบ 500 วิชา โดยผู้เรียนสามารถได้รับประกาศนีบัตรคุณวุฒิ หรือกระทั่งโอนหน่วยกิตเพื่อไปรับปริญญาได้ สิ่งที่ควรปรับปรุงในเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องการทำให้แน่ใจว่าหลักสูตรและเนื้อหาที่สอนตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงเร็วของตลาดแรงงาน ซึ่งการสอนแบบ MOOC มีจุดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่นของเนื้อหาได้อยู่แล้วจึงควรใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้เนื่องจากเป็นการสอนที่ไม่จำกัดวุฒิการศึกษาและอายุของผู้เรียน จึงอยากให้มีการคิดนอกกรอบในเรื่องเนื้อหาด้วย เช่นอาจเป็นเนื้อหาที่เหมาะกับแรงงานที่กำลังจะถูกทอดทิ้งจากตลาดแรงงาน เช่นผู้ที่สูงวัยกว่า 40 ปีและมีการศึกษาไม่เกินประถมหรือมัธยมต้น MOOC ควรใช้ความยืดหยุ่นของเนื้อหาสร้างทักษะให้คนกลุ่มนี้ด้วย โดยอาจไม่ใช่ทักษะที่ไม่มีมูลค่าตลาดก็ได้ เช่นการดูแลเด็กเล็ก การดูแลผู้สูงวัย การรักษาสภาพแวดล้อม

ประการที่สอง การถูกบังคับให้ต้องเรียนและสอนออนไลน์ได้ก่อให้มีการสร้างเครือข่ายครูและอาจารย์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และระดมสมองถึงวิธีการใหม่ ๆ ในการสอนให้มีประสิทธิภาพภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่ เช่นการใช้การสอนแบบ multi-mod คือไม่ใช่ online หรือ offline อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ผสมผสานกัน เราควรมีนโยบายส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเช่นนี้ให้มีความกว้างขวางยิ่งขึ้น

ประการที่สาม เช่นเดียวกันพ่อแม่ก็ควรใช้ประโยชน์จากความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางในการกระตุ้นการเรียนรู้ของลูกหลานในระหว่างที่ทำหน้าที่กำกับและสนับสนุนการเรียนทีบ้าน แล้วทำการขยายความเข้าใจนี้ไปสู่กลุ่มผู้ปกครองด้วยกัน กลุ่มครูและอาจารย์ รวมถึงการถ่ายทอดสู่วงกว้างด้วย

ประการที่สี่ กระทรวงศึกษาธิการควรปฏิรูปแนวทางการวัดผลการเรียนให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในภาวะการณ์ใหม่ โดยถือโอกาสนี้ปรับปรุงระบบ KPI ที่ล้าสมัยและไม่เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปพร้อมกันเลย 

ประการที่ห้า การใช้ชุมชน อสม การศึกษา มีการทำบ้างในการระบาดรอบแรกเช่นที่จังหวัดราชบุรี (สนับสนุนโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) สร้างอุปกรณ์การเรียนรู้ด้วยตัวเองหรือด้วยการช่วยเหลือจากอาสาสมัครในชุมชน

ประการที่หก จากข้อเสนอแนะต่าง ๆ ข้างต้นผสมผสานกัน น่าจะก่อให้เกิดบริบทของการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ด้วย โดยเป็นการร่วมมือกันของภาคีต่าง ๆ และนำนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ค้นพบและทดลองใช้ในช่วงนี้มาเป็นบทเรียน และอยากให้มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมเป็นกลุ่มแรงงานที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่นผู้สูงวัยเกิน 40 ปีและมีการศึกษาไม่เกินมัธยมต้นที่กล่าวถึงข้างต้น อาจมีการคิดค้นหลักสูตรที่แม้จะไม่มีความต้องการในตลาดแรงงานมากแต่มีประโยชน์ต่อสังคมในระยะยาว เช่นการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ เป็นต้น

ที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีเรื่องใหม่ ๆ อีกหลายประการที่เกิดขึ้นในกระบวนการศึกษาช่วงนี้ที่ควรเอามาสกัดเป็นบทเรียนและใช้ประโยชน์ในระยะยาวได้

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ
สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

คณะวิจัย TDRI
14 พฤษภาคม 2564