“แท็กซี่แวน ณ สุวรรณภูมิ”เขาว่าเรื่องเยอะ?!

ปี2015-04-24

ประกาศกร้าวด้วยความโกรธเกรี้ยวมาตลอดสำหรับ “แท็กซี่แวน@สุวรรณภูมิ” ตั้งแต่ขึ้นค่าธรรมเนียม-ขึ้นค่าสัมภาระ-ขอใช้ระบบเหมาจ่าย ไม่เช่นนั้นจะประท้วงด้วยการหยุดให้บริการเพราะแบกรับภาระต้นทุนกันไม่ไหว ล่าสุดประท้วงหยุดเดินรถทั้งสนามบินฯอีก เพื่อประท้วงผู้โดยสารที่ร้องเรียนว่าถูกเอาเปรียบจากค่าโดยสารที่ไม่เป็นธรรม

กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์ขึ้นมาทันที หลังจากเพจเสียงแท็กซี่ – Voice of Taxis ได้โพสต์ภาพและข้อความเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “รถแวนคันใหญ่ พร้อมใจกันหยุด ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อให้ผู้โดยสารที่มีสัมภาระเยอะๆ ลองใช้คันเล็ก 2 คันดู เพราะพวกเขาคิดว่าโดนเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีความยุติธรรมต่อพวกเขา ใส่เต็มคันล้นคัน แต่ไปราคามิเตอร์ที่แสนถูกในโลก ทำให้ลานจอดโล่งเลยครับ”

ด้านปฏิกิริยาจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ได้เข้ามาแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย ทั้งเห็นใจ และเห็นพ้องแสดงอาการบอยคอตแท็กซี่กลุ่มนี้

“ดีใจด้วยครับ ผู้โดยสารมีทางเลือกอื่นๆเสมอครับ ไม่จำเป็นต้องง้อแท็กซี่ที่งอแงเป็นเด็กอมมือ” Nate Aquarius

“ทำถูกต้องแล้ว สนับสนุนให้หยุดวิ่งถาวรไปเลยครับ ถ้าคิดว่าถูกเอาเปรียบ การค้าขาดทุนอย่าทำ อย่าทนโดนกดขี่ สนับสนุนให้หยุดวิ่งถาวรครับ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย อย่าทำเรื่องผิดกฎหมายให้เป็นเรื่องถูกต้องโดยการจับผู้โดยสารเป็นตัวประกัน อย่าทนครับ ดีๆๆๆ ทำให้ตลอดไปอย่าวิ่งครับ เชียร์สุดใจ จริงๆ ครับ” Moddy Thairetro

“ก็ทำถูกแล้วครับ ไม่อยากวิ่ง หาว่าผู้โดยสารเอาเปรียบ หยุดไปเลยครับ ไม่ต้องมาวิ่งอีก แท็กซี่ทำมาหากินจริงๆ เขาจะได้ดีบ้าง” Vee Pittinun

“ดีคะ ไม่ได้กำไรก็ไม่ต้องวิ่งคะ แล้วไม่ต้องไปขอขึ้นราคาอีกนะคะ คุณไม่วิ่งเราไม่เดือดร้อนคะ แต่ถ้าคุณขอขึ้นราคา ประชาชนเดือดร้อนคะ ถามจริงแล้วเอาคันใหญ่มาวิ่งทำไมคะถ้าใส่ของเยอะไม่ได้ เอาแบบนี้ ทำเรื่องเสนอรัฐบาลดีไหม ให้แท็กซี่ที่ไม่ประสงค์จะวิ่งที่สุวรรณภูมิ เอาออกไปให้หมด แล้วให้แท็กซี่ที่อยากเข้ามาวิ่ง มาลงทะเบียนกัน ตรวจสภาพรถ อบรมแล้วเอามาวิ่งแทนพวกปัญหาเยอะ” Patchara Sutinkad

อย่างไรก็ดี แม้จะพยายามเรียกร้องมาตลอด ทั้งเรื่องขอปรับขึ้นค่าธรรมเนียมให้บริการจากเที่ยวละ 50 บาทเป็น 100 บาท, ขอเก็บค่าสัมภาระ โดยกระเป๋าใบแรกไม่คิดค่าบริการ แต่ใบละ 2-4 ใบละ 30 บาท และใบที่ 5 คิดเพิ่มอีก และขอให้นำระบบคิดค่าโดยสารแบบเหมากลับมาใช้ กรณีออกนอกเขตกรุงเทพฯ

ทว่าในประเด็นเดียวกันนี้ ได้มีเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันเข้ามาแสดงความคิดเห็นในมุมต่าง บอกเล่าได้จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อว่า “น้าโบ๋ แท็กซี่ จิตสัมผัส”

“ใครบังคับให้คุณซื้อรถแวนมาทำแท็กซี่?

ใครบังคับให้คุณเสียตังค์ซื้อโค้ดเพื่อเข้าคิวในสนามบิน ที่ดอนเมืองค่าสมัครเข้าวิน 100 บาท สุวรรณภูมิ 2 หมื่น คืออะไร?

ใครบังคับให้คุณไปส่งลูกค้า เสร็จแล้วตีรถขึ้นทางด่วนกลับมาต่อแถว? ถ้าไปส่งพระราม 2 ตอนบ่าย คุณตีรถกลับมารับคนที่วินทันด้วยเหรอ?

ใครบังคับให้คุณมาประกอบอาชีพนี้? มันคืออาชีพทางเลือก รับเงินสดทุกวัน รายได้โอเค ถ้าเก็บเงินเป็น
ที่ว่ามาทั้งหมด คุณบ่นเพราะอะไร? รายรับไม่พอรายจ่าย? หรือว่า รายจ่ายเกินรายรับ? ผมวิ่งจากสถานที่ต่างๆ ไปส่งคนสุวรรณภูมิ ค่ารถร้อยกว่าบาท ชาร์จ 50 บาทก็ไม่มี ขนของ ขนคนจนท้ายห้อย แถมตีรถเปล่าออกมาร่วม 20 โล ยังไม่บ่นสักคำ ทั้งๆที่ก็เสี่ยงรถพังเหมือนกันแท้ๆ

เลิกเรียกร้องอะไรที่เอาเปรียบรถที่วิ่งทั่วไปเถอะ คนอื่นเขาทำกันได้ ทำไมคุณทำไม่ได้”

ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและลอจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เขาเคยให้ทัศนะในเรื่องดังกล่าวนี้ไว้อย่างน่าสนใจตอนหนึ่งว่า

“ถ้ามีการเก็บค่าเซอร์ชาร์จรถแท็กซี่แวนเป็น 100 บาท แล้วให้แท็กซี่ธรรมดา 50 บาทเหมือนเดิม คำถามคือ ผู้โดยสารที่รอคิวสุวรรณภูมิจะมีสิทธิเลือกเองได้ใช่มั้ยว่าจะขึ้นรถประเภทไหน แวนหรือปกติ ไม่ใช่ว่าผู้โดยสารอยากจะได้รถคันเล็กเกือบทั้งหมด ต่อแถวรอรถคันเล็กกันเยอะมาก แต่ไม่มีรถคันเล็กเหลือเลย มีแต่รถแวนต่อคิวให้บริการเพียบ มันจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อรถคันเล็กเองก็ไม่อยากไปเพราะได้ค่าเซอร์ชาร์จแค่ 50 บาท ทำให้เกิดความคิดว่าเช่ารถแท็กซี่แวนไปให้บริการเลยดีกว่า ได้ค่าเซอร์ชาร์จเพิ่มอีกตั้ง 50 บาทแน่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถามว่าผู้โดยสารจะเดือดร้อนมั้ยและจะมีวิธีบริการจัดการยังไง

ส่วนเรื่องที่จะขอเก็บค่าสัมภาระเพิ่มด้วย ก็ต้องดูว่าสัมภาระของผู้โดยสารหนักและเยอะแค่ไหน ถ้าแบกมาแล้วไม่สามารถใส่ลงไปได้หมดในรถคันเดียว ผมว่าก็ไม่ค่อยเป็นธรรมต่อแท็กซี่เท่าไหร่นักถ้าจะไม่ให้เขาเก็บเพิ่มหลายๆครั้ง ตัวแท็กซี่เองพื้นที่ด้านหลังเขาอาจจะมีถังแก๊ส แต่จำเป็นต้องใส่ของผู้โดยสารไปด้านหลังด้วย เพราะฉะนั้นผู้โดยสารก็ต้องประมาณสัมภาระตัวเองด้วยระดับหนึ่งที่จะให้แท็กซี่สามารถบรรทุกไปได้

นอกจากนั้น อาจจะต้องควบคุมให้ชัด ให้ตัวผู้โดยสารเองเข้าใจด้วยว่าถ้ามีสัมภาระเกินมากัน 2 คน ของเยอะมาก อาจจะแยกคันกันไปจะดีกว่า ต้องดูตามความเหมาะสม เพราะขนาดสายการบินเอง ยังมีกำหนดน้ำหนักเลยครับว่าผู้โดยสารท่านหนึ่งต้องมีสัมภาระไม่หนักเกินเท่าไหร่ ต้องดูว่าจะต้องดำเนินการให้เป็นธรรมต่อแท็กซี่ด้วยว่าควรจะเก็บเพิ่มแค่ไหน และควรจะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้โดยสารด้วยว่าจะต้องไม่จ่ายในราคาที่รู้สึกว่าถูกขูดรีดหรือปล้นกันมากกว่าจะเป็นการเก็บค่าบริการ”

ถึงตอนนี้ แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ตรงกันระหว่าง “กระทรวงคมนาคม” กับ “แท็กซี่สุวรรณภูมิ” แต่ทาง ก.คมนาคมก็เข้าใจปัญหา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และพยายามจะหาทางคลี่คลายปัญหาให้ได้มากที่สุด ส่วนกรณีประท้วงด้วยการหยุดวิ่งนั้น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อฉบับหนึ่งว่า “…แท็กซี่เป็นอาชีพอิสระ หากหยุดวิ่งคงไม่ผิดกฎหมาย แต่ขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม และหน้าตาของประเทศด้วย เพราะหากให้บริการดี นักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้น และเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศ”

————————

หมายเหตุ: พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน วันที่ 24 เมษายน 2558 ในชื่อ ““แท็กซี่แวน ณ สุวรรณภูมิ”เขาว่าเรื่องเยอะ?!