สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ร่วมเดินหน้า เตรียมเข้าเป็นสมาชิก อีไอทีไอ (EITI) หวังมีมาตรฐานความโปร่งใสแบบใหม่สร้างความถูกต้อง- เชื่อใจระหว่างกัน มุ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านนักวิจัยทีดีอาร์ไอ เล็งเห็น ‘ศักยภาพภาคประชาสังคม’ ปัจจัยหลักผลักดันการเปิดเผย-ตรวจสอบข้อมูล และสร้างมาตรฐานความโปร่งใสแบบใหม่ให้สำเร็จ
“อีไอทีไอ” (EITI) หรือ โครงการความโปร่งใสในอุตสาหกรรมสกัดทรัพยากรธรรมชาติ (Extractive Industries Transparency Initiative) คือ แนวทางปฏิบัติเพื่อการจัดสรรทรัพยากรอย่างโปร่งใสและลดความขัดแย้ง โดยเฉพาะทรัพยากรเหมืองแร่และปิโตรเลียม โดยเสริมให้ประเทศสมาชิกจัดการประโยชน์ที่ได้จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ด้วยการให้ภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งมารวมตัวในรูปแบบ “คณะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายภาคส่วน” หรือ เอ็มเอสจี (MSG – Multi-Stakeholder Group) ช่วยเปิดเผยและสามารถเข้าถึงข้อมูลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้สัมปทาน การใช้จ่ายงบประมาณ ไปจนถึงการจัดสรรรายได้ เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความเชื่อมั่นและหาข้อตกลงร่วมกันได้
ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีกรณีตัวอย่างของความขัดแย้งจากการใช้ทรัพยากรที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ คือ การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติด้านความมั่นคงทางพลังงาน ที่ถูกชะลอการยื่นขอสิทธิมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 เพื่อรอการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม แต่สิ่งที่ไม่ได้ถูกชะลอไปด้วย คือ กระแสความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านการเดินหน้าเปิดสัมปทานที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ทั้งที่มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นและให้ความรู้จากหลายฝ่าย แต่ยังคงมีประเด็นที่วนเวียนถกเถียงเรื่องความถูกต้องของข้อมูล
กรณีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการไม่มีเกณฑ์สากลในการยอมรับว่าข้อมูลมีความสมบูรณ์หรือน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ฝ่ายหนึ่งอาจเปิดเผยข้อมูลบางส่วน ขณะที่อีกฝ่ายไม่ให้ความเชื่อถือ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่วางใจ ในเรื่องความโปร่งใสและความถูกต้อง ที่มักเชื่อมโยงไปสู่การทุจริตและความขัดแย้ง
นาย ธิปไตร แสละวงศ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความเห็นต่อการนำ อีไอทีไอ มาแก้ปัญหาความขัดแย้งจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ว่า “เราไม่รู้หรอกว่า อีไอทีไอ จะได้ผล กว่าจะเห็นผลของต้องใช้ระยะเวลาอีก 2-3 ปี โดยประมาณ แต่ก็ไม่ได้เสียหายถ้าเราจะลอง รัฐบาลเองก็ได้แสดงท่าทีตอบรับซึ่งสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวฝั่งของภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่กำลังตกลงกันเพื่อหาตัวแทนมาทำงานร่วมกันใน เอ็มเอสจี”
การเข้าร่วมการเป็นสมาชิก อีไอทีไอ ประเทศไทยนับว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบไปเมื่อ วันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างนี้รัฐบาลต้องทำงานกับภาคประชาสังคมและเอกชนเพื่อดำเนินการจัดตั้ง เอ็มเอสจี ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่และรายงานผลการดำเนินงาน เรื่อง อีไอทีไอ ตามเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิกร่วมกับ 48 ประเทศอื่นๆ ในที่นี้มีประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ร่วมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม การรวมตัวกันของภาคประชาสังคมเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ เอ็มเอสจี นั้นมีความน่าสนใจ และแตกต่างจากกลุ่มภาครัฐและเอกชน เนื่องด้วยองค์ประกอบของตัวแทนที่หลากหลาย ทั้งเอ็นจีโอด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน นักวิชาการด้านต่างๆ และสื่อมวลชน ซึ่งต้องพูดคุยกันหลายครั้งเพื่อหาจุดยืนร่วมกัน ในจุดนี้เองเอ็นจีโอจะได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ลบภาพลักษณ์ที่มักเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล และลดความขัดแย้งในสังคม
นาย ธิปไตร แสละวงศ์ มีมุมมองต่อภาคประชาสังคมว่า “ภาคประชาสังคม มีศักยภาพในการดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปทำงานด้วย คนเหล่านี้จึงเป็นฐานความรู้ที่ดี อีกทั้งด้านการเงินไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด หลายกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคมได้แสดงให้เห็นว่า ภาคประชาสังคมมีบทบาทหลักในการผลักดันนโยบายจนประสบผลสำเร็จอยู่มาก”
“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กรณีท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ในปี พ.ศ. 2539 ที่รัฐบาลประกาศสร้างโรงไฟฟ้าและโรงแยกก๊าซ โดยไม่ได้ฟังเสียงคัดค้านจากคนในพื้นที่หรือพิจารณาผลวิจัยสิ่งแวดล้อม กรณีนี้ คนในพื้นที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม ชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งสุดท้ายโครงการก็ต้องถูกชะลอออกไป” ธิปไตรกล่าวทิ้งท้าย
ดังนั้น แม้ว่าภาคประชาสังคมจะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ อีไอทีไอ เกิดขึ้นในไทยได้สำเร็จ ปัจจัยที่จะทำให้ อีไอทีไอ เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง คือ ภาคประชาสังคมจำเป็นต้องแสดงบทบาท ศักยภาพ “เชิงรุก” ในการเป็นผู้ตรวจสอบความไม่โปร่งใสของระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการการดำเนินโครงการด้านพลังงานและทรัพยากรอื่นๆของชาติ และช่วยให้ทุกภาคส่วนไม่วนเวียนหรือติดกับดักความขัดแย้งและการคอร์รัปชั่น ซึ่งสกัดกั้นการพัฒนาของประเทศ ความมั่นคงทางการเมือง และทำลายบรรยากาศความน่าลงทุนจากต่างชาติอย่างที่ผ่านๆมาได้อีก