tdri logo
tdri logo
12 มิถุนายน 2020
Read in Minutes

Views

ระเบิดเวลา SMEs

ธุรกิจขนาดกลางและย่อม เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่มากระทบมีน้อยกว่ามาก โดยประการหนึ่งเกิดจากกลไกตลาดที่ประเมินความเสี่ยงของธุรกิจขนาดกลางและย่อม สูงกว่าธุรกิจใหญ่ ทำให้ต้นทุนภาระดอกเบี้ยกู้ยืมจะอยู่สูงกว่า  

ตัวอย่าง เช่น ในปัจจุบัน การคิดอัตราดอกเบี้ยตามมาตรฐานธนาคารพาณิชย์จะมีการแบ่งอัตราดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับขนาดของธุรกิจ เป็น 3 อัตรา ได้แก่ MLR หรือ Minimum Loan Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี MOR หรือ Minimum Overdraft Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี และ MOR หรือ Minimum Retail Rate เป็นอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับลูกค้ารายย่อยชั้นดี  

ถ้าพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของทั้ง 3 กลุ่มในปัจจุบัน (วันที่ 4 มิถุนายน 2563) จะพบว่า อัตราดอกเบี้ยของธุรกิจรายใหญ่ จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจรายย่อย โดยค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับธุรกิจรายใหญ่จะอยู่ที่ ร้อยละ 6.69 สำหรับหนี้เงินกู้ทั่วไป และ ร้อยละ 6.31 สำหรับหนี้ที่เป็นการเบิกเงินเกินบัญชี ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับลูกหนี้รายย่อยจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.76  

นั่นคือ ธุรกิจรายใหญ่ที่ได้รับผลกระทบในรูปของปัญหาสภาพคล่องจะเสียต้นทุนการกู้ในส่วนของการเบิกเงินเกินบัญขีเพียงร้อยละ 6.31 ในขณะที่ธุรกิจที่ต้องการกู้มากกว่าที่จะใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น เพื่อไปใช้ในการลงทุนจะมีต้นทุนการกู้ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยละ 6.69 ในขณะที่ลูกหนี้รายย่อยจะมีต้นทุนการกู้ในอัตราเดียวที่ร้อยละ 6.76 ทำให้ต้นทุนของธุรกิจรายใหญ่จะต่ำกว่าธุรกิจรายย่อยประมาณร้อยละ 0.06-0.45  

ตารางที่1: อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับกลุ่ม MOR, MLR และ MRR (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2563) 

ธนาคาร MOR MLR MRR 
ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ       
กรุงเทพ 5.875 5.25 5.75 
กรุงไทย 5.82 5.25 6.22 
กสิกรไทย 5.84 5.47 5.97 
ไทยพาณิชย์ 5.845 5.25 5.995 
ธนาคาร MOR MLR MRR 
กรุงศรีอยุธยา 5.95 5.58 6.05 
ทหารไทย 6.15 6.125 6.28 
ยูโอบี 6.8 6.6 7.35 
ซีไอเอ็มบี ไทย 6.85 6.35 7.35 
สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) 7.7 7.475 – 
ธนชาต 6.15 6.125 6.28 
ทิสโก้ 6.45 6.45 6.725 
เมกะ สากลพาณิชย์ 6.5 6.25 
เกียรตินาคิน 6.45 6.525 6.65 
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 7.25 6.625 7.35 
ไอซีบีซี (ไทย) 7.025 6.75 7.275 
ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย 8.28 8.1 8.8 
แห่งประเทศจีน(ไทย) 7.75 6.5 
ธนาคารเอเอ็นแซด (ไทย) จำกัด (มหาชน) 7.55 7.55 – 
ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย) 6.875 7.625 
เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ 6.69 6.3145 6.76 

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย 

ประการที่สอง ก็คือ ธุรกิจรายใหญ่มักจะได้เปรียบธุรกิจรายย่อยเมื่อภาครัฐมีการกำหนดมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากธุรกิจรายใหญ่มีการเสียภาษีที่ชัดเจน ทำให้ได้รับประโยชน์หากรูปแบบมาตรการช่วยเหลือกำหนดผลประโยชน์ในรูปของภาษี เช่น การชะลอการยื่นแบบภาษี หรือ การให้ลดหย่อนภาษี หรือ การให้สิทธิเยียวยาโดยผูกเงื่อนไขว่าต้องใช้กับร้านที่สามารถออกใบกำกับภาษีได้ นอกจากนี้ ธุรกิจรายใหญ่ยังมีสถานที่ตั้งที่ชัดเจน ทำให้ผู้ที่จะใช้สิทธิรับการช่วยเหลือจากภาครัฐสามารถที่จะเลือกใช้สิทธิได้โดยสะดวก ตัวอย่างเช่น โครงการชิมช็อปใช้ของภาครัฐ ที่พบปัญหาว่าผู้ต้องการใช้สิทธิ ไม่สามารถที่จะค้นหาร้านรายย่อยได้โดยง่าย เพราะร้านค้ารายย่อยอาจจะมีแหล่งที่ตั้งที่ไม่แน่น่อน เดินทางไปถึงได้ยาก ในขณะที่ร้านค้ารายใหญ่มักจะเป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วในพื้นที่ ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการมักจะเลือกธุรกิจรายใหญ่เป็นส่วนใหญ่ 

ประการที่สาม ก็คือ สายป่าน หรือ เงินออมในการทำธุรกิจกีมีความแตกต่างกันซึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจขนาดกลางและย่อมจะมีสายป่านในการดำเนินธุรกิจที่สั้นกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากการสัมภาษณ์1พบว่าในช่วงโควิด-19 ธุรกิจขนาดกลางและย่อมจะมีความสามารถในการประคองธุรกิจในขณะที่รายได้ชะลอตัวลงประมาณ 1-3 เดือน ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถประคองตัวได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน 

เมื่อนำเอาข้อมูลการสัมภาษณ์มาพิจารณาร่วมกับมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สำคัญ คือ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื้อ soft loan จะพบว่าจุดสิ้นสุดของความช่วยเหลือจะอยู่ที่ประมาณเดือนมิถุนายน 2563 ทำให้สายป่านของธุรกิจขนาดกลางและย่อมจะเกิดปัญหาประมาณช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนตุลาคม ในขณะที่ธุรกิจรายใหญ่จะสามารถประคองตัวได้อย่างน้อยจนถึงปลายปี 

ระเบิดเวลา SMEs จึงอยู่ในช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งจะเกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดกลางและย่อมที่รายได้ยังน้อยกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ อาจจะไม่สามารถที่จะประคองธุรกิจต่อไปได้ ส่งผลทำให้เกิดการลดขนาดการดำเนินธุรกิจ การพักหรือเลิกจ้างพนักงาน หรืออาจจะส่งผลให้ธุรกิจปิดตัวลงมากในช่วงเวลาดังกล่าว  

ทั้งนี้ ภาครัฐควรจะต้องเร่งตัดสินใจถึงความเหมาะสมในการขยายเวลามาตรการช่วยเหลือออกไปเพื่อช่วยกลุ่มธุรกิจ SMEs ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อไป 

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อสังคมและเศรษฐกิจ 
สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

โดย คณะวิจัย TDRI
12 มิถุนายน 2563

นักวิจัย

แชร์บทความนี้

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

ดูทั้งหมด