ยกเครื่องเยียวยาท่วม-แล้งด้วย ‘เทคโนโลยี’

กัมพล ปั้นตะกั่ว

ชาวนาไทยเผชิญปัญหาภัยธรรมชาติทุกปี เพื่อบรรเทาผลกระทบ รัฐบาลจึงมีโครงการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับชาวนา 2 โครงการ โครงการแรกเป็นการเยียวยาความเสียหายให้แก่ชาวนาที่ได้รับความ เสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2545 ครอบคลุมประเภทของภัยพิบัติเกือบทุกประเภท โดยให้ความช่วยเหลือ ราว 30% ของต้นทุนการผลิต

โครงการที่สองเป็นการประกันภัยข้าวนาปี โดยรัฐให้การอุดหนุนเบี้ยประกัน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 รับประกันความเสียหายจากภัย 7 ชนิด ดำเนินการร่วมกับ ธ.ก.ส.และสมาคมประกันวินาศภัย (โดยอาศัยกระบวนการตรวจสอบความเสียหาย จากโครงการแรกมาอนุมัติสินไหม เงินสินไหมจากการประกันมีมูลค่า 30% ของต้นทุนการผลิต)

งานวิจัยเรื่อง “การออกแบบการจัดการความเสี่ยงปัญหาสภาพภูมิอากาศสำหรับการผลิตข้าวของไทย” (Re (Designing) Climate Risk Management Scheme for Thailand’s Rice Production) ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้แผนการเงินเพื่อการปรับตัวรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (AFFP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก International Development Research Center (IDRC) ประเทศแคนาดา และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พบว่าในการดำเนินงานทั้ง 2 โครงการที่ผ่านมา ประสบปัญหาอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่

1.โครงการเยียวยาฯ ใช้เวลานานในการตรวจสอบความเสียหาย ทำให้การเยียวยาไม่ทันการณ์กับความเดือดร้อน ไม่เป็น ไปตามเจตนารมณ์ของการช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยใช้ระยะรวม 95-115  วัน นับตั้งแต่ภายหลังการประกาศภัย จนกระทั่งถึงขั้นตอนการบันทึกข้อมูล เพื่อขออนุมัติงบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (กษ.02) และใช้เวลาอีก หลายเดือนในการอนุมัติงบประมาณถ้าต้องส่งเรื่องเข้ามาพิจารณาที่ส่วนกลาง

2.โครงการเยียวยาฯ มีต้นทุนของกระบวนการตรวจสอบความเสียหายโดยเฉลี่ยสูงถึง 295 ล้านบาทต่อปี (2559-2561) ต้นทุนดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เรื่อยๆ ประมาณ 0.6-3.1% ต่อปี ตาม ปัญหาโลกร้อนและปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน

3.โครงการเยียวยาความเสียหายและประกันภัยข้าวนาปี จำกัดความช่วยเหลือเฉพาะชาวนาที่ผลผลิตเสียสิ้นเชิงเท่านั้น ละเลยชาวนาที่ผลผลิตเสียหายเพียงบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทาน

4.พื้นที่เข้าข่ายเป็นเขตภัยพิบัติขึ้นกับประกาศโดยผู้ว่าราชการจังหวัดที่อ้างอิงเกณฑ์ของประกาศสาธารณภัยซึ่งเหมาะกับภัยขนาดใหญ่ และไม่ได้ระบุพื้นที่ขั้นต่ำ โดยที่ผ่านมานิยามพื้นที่ประสบภัยต้องมีหลายหมู่บ้าน หรือหลายครัวเรือนจึงจะประกาศเขตประสบภัยพิบัติ

สถิติของสมาคมประกันวินาศภัยระบุว่า มีชาวนามาร้องขอสินไหมกรุณา (เงินสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันจ่ายให้ด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อเหตุการณ์ความเสียหายที่ไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์) ถึง 4.5% ของพื้นที่ที่ทำประกันภัย

เพื่อแก้ปัญหา 4 ประการข้างต้น ควรนำเทคโนโลยีมาช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการประกาศเขตภัยพิบัติ ตรวจสอบ ความเสียหาย โดยอาศัยการพัฒนาดัชนีวัดความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรทางอ้อม (index based insurance) แทนการยึดผลกระทบความเสียหายทางการเกษตรโดยตรงแบบเดิม

ดังเช่นโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นโครงการประกันภัยแล้ง ที่ใช้ระบบการประกันภัยจากดัชนีสภาพภูมิอากาศ ที่อาศัยปริมาณน้ำฝนสะสมจากสถานีตรวจอากาศ เป็นตัวคาดการณ์ความเสียหายของชาวนาในแปลง โดยไม่ต้องลงไปสำรวจแปลง

แนวคิดหลักของโครงการวิจัยนี้คือการกำหนดตัวบ่งชี้บางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับความเสียหายทั้งหมด ครอบคลุมทั้งความเสียหายบางส่วนไปจนถึงความ เสียหายโดยสิ้นเชิง ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (weather index based insurance) การจ่ายสินไหมจะเกิดขึ้นหากตัวบ่งชี้สภาพอากาศสูงกว่าหรือต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

การศึกษาได้ออกแบบการวัดความเสียหายของอุทกภัยด้วยภาพดาวเทียมชนิดเรดาร์ (Synthetic-aperture radar : SAR) ที่ถ่ายทะลุเมฆจากดาวเทียมหลายดวงร่วมกัน เช่น COSMO Skymed, RADARSAT, Sentinel 1 ความละเอียดภาพ 1 จุดเท่ากับ 30 เมตร และการวัดความเสียหายของภัยแล้งด้วยดาวเทียมติดตามฝน (GSMaP) ขององค์การวิจัยและพัฒนาการสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ที่ความละเอียด 1 จุดเท่ากับ 11 กิโลเมตร เพื่อนับจำนวนวันที่ไม่มีฝนตกต่อเนื่อง

ดาวเทียมทั้ง 2 ระบบต่างก็อาศัยเทคนิคการตรวจจับการสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อตรวจหาน้ำ ร่วมกับองค์ความรู้เกี่ยวกับการตอบสนองของพืชที่มีต่อภาวะเครียด (Plant stress) อันเกิดจากภัยธรรมชาติ (Crop model) เช่น ผลของจำนวนวันที่ขาดน้ำ หรือระยะเวลาที่น้ำท่วมนานเท่าใดจึงจะมีผลต่อปริมาณผลผลิตในระดับวิกฤติ ซึ่งสามารถออกแบบครอบคลุมความเสียหาย ในส่วนที่เกิดขึ้นในนาข้าวได้

ผลการวัดพื้นที่ประสบภัยพบว่าพื้นที่ที่วัดได้จากดัชนีมีมากกว่าพื้นที่เสียหาย สิ้นเชิง 3 เท่า หรือมากกว่าแนวทางการวัดแบบเดิม วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาชาวนาที่ได้รับความเสียหายเพียงบางส่วนที่ตกหล่นจากการได้รับความช่วยเหลือ และชาวนาที่เสียหายสิ้นเชิงแต่ไม่ได้รับการประกาศเขตประสบภัยให้ได้รับการเยียวยา ซึ่งจะช่วยจูงใจให้ชาวนาที่ไม่ได้ร่วมระบบประกันภัยสมัครใจเข้าร่วมระบบประกันภัยด้วยตนเองมากขึ้น จากปัจจุบันมีพื้นที่เข้าร่วมระบบประกันภัยเพียง 39%

ด้วยแนวทางนี้ ระยะเวลาในการตรวจสอบภัยในกรณีอุทกภัยจะเหลือเพียง 3-5 วัน และกรณีภัยแล้งจะใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น ด้วยการลงทุนเพียงประมาณ 60 ล้านบาทในปีแรก และ 42.9-43.7 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการในปีต่อๆ ไป สามารถช่วยลดต้นทุนการบริหารกระแสเงินสดของชาวนาได้ถึง 3,217 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม ความสามารถของดาวเทียมในปัจจุบันยังมีจำกัด การวัดพื้นที่ประสบภัย ยังมีความถูกต้องเพียง 83-87% ทำให้ผลการวัดพื้นที่โดยเทคโนโลยีดาวเทียมมี แนวโน้มสูงกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะกรณี อุทกภัยเนื่องจากไม่มีข้อมูลความสูงต่ำ ของพื้นที่โดยละเอียด หรือแบบจำลอง ความสูงเชิงตัวเลข Digital Elevation Model (DEM) จึงจำเป็นต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลจากท้องถิ่นเพื่อช่วยในการตรวจสอบ ความถูกต้องของพื้นที่ที่คำนวณขึ้น เช่น การใช้เทคนิค Crowdsourcing ให้เกษตรกรรายงานความเสียหายในพื้นที่ของตนเองผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น หรือ การใช้โดรนบินสำรวจ

ข้อมูลระดับนี้เพียงพอที่จะใช้ทดแทนการสำรวจด้วยคนเพื่อใช้ในงานประกันภัย เมื่อเทียบกับกรณีโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีความคลาดเคลื่อนสูงกว่า เนื่องจากใช้สถานีตรวจอากาศที่มีเพียง 1-2 แห่งต่อจังหวัดเท่านั้น

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 28 มกราคม 2564

ผลงานล่าสุดจากทีดีอาร์ไอ